( 06-04-2022 ) “มาสด้า” ประกาศปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจสู่การเติบโตแบบยั่งยืน ยกระดับคุณค่าแบรนด์ ดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม พร้อมปรับแม่ทัพใหม่ มร.ทาคาชิ มิอุระ ประธานบริหาร คุณชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานที่ปรึกษา พร้อมโชว์เทคโนโลยี MAZDA MX-30 BEV / Battery Electric Vehicle มอเตอร์ขับเคลื่อน 105 กิโลวัตต์ 145 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 26.8 กก.-ม. มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous และแบตเตอรีลิเธียมไอออนขนาด 35.5 kWh พร้อมสมรรถนะอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 148 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะขับขี่ทำได้ 209 กิโลเมตรต่อการชาร์จ (การทดสอบ WLTP) #MAZDATHAILAND
-มาสด้า ประเทศไทย ประกาศ รุกธุรกิจรถมือสอง Mazda CPO ยกระดับคุณภาพ เพิ่มมูลค่ารถมือสอง ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และการันตีจากมาสด้า / ขยายศูนย์ซ่อมตัวถังและสีให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 58 แห่ง / ขยายบริการตรวจเช็กระยะแบบเร่งด่วน Fast Track ใช้เวลาเพียง 60 นาที ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 34 แห่ง / สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Touchpoints /มุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน Sustainable Zoom-Zoom ภายในปี 2573 / กลยุทธ์ Building Block Strategy เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลด CO2 แบบ Well-to-Wheel ด้วยแนวทาง Multi-Solution นำเสนอรูปแบบพลังงานที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่เหมาะสมในแต่ละตลาด / เดินหน้าตามแผนระยะกลาง Middle – Term Technology and Policy เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางด้านคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2593
-พร้อมเปิดเผยถึงผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยเฉพาะตัวเลขยอดขายทะลุ 35,654 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 4.5% โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมาสด้า ด้วยยอดขายเกือบ 20,000 คัน ครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-30 และมาสด้า CX-3 รวมกันกว่า 12,000 คัน เดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจใหม่กับมาสด้า CPO ยกระดับมูลค่าราคารถมือสอง ปรับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจสู่ความยั่งยืน ด้วย Retention Business Model เน้นสร้างคุณค่าของแบรนด์จากการบริการ ยกระดับการดูแลลูกค้าระดับพรีเมี่ยมด้วยโปรแกรม Privilege ตั้งเป้าปีนี้ยอดขายทะลุ 40,000 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 15%
-คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังด้านการใช้จ่ายเนื่องจากไม่แน่ใจต่อสถานการณ์ และยังส่งผลกระทบถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนหลายแห่งต้องหยุดการผลิต ทำให้เกิดการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตและกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งระบบ อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณบวกจากการที่ประชาชนได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยปีงบประมาณ 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2563 ที่ 1% ประมาณ 795,000 โดยตลาดรถปิกอัพได้รับความนิยมสูงสุด มีจำนวนรวม 357,000 คัน ตามมาด้วยรถยนต์นั่ง จำนวน 214,000 คัน รถอเนกประสงค์เอสยูวี (รวม PPV) จำนวน 143,000 คัน อื่นๆ จำนวน 81,000 คัน ซึ่งในจำนวนนี้มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จำนวน 2,097 คัน
สำหรับปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างเดือนเมษายน 2564 – มีนาคม 2565) มาสด้าทำยอดขายได้ 35,654 คัน ลดลงเล็กน้อย 11% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2563 ครองส่วนแบ่งการตลาด 4.5% แบ่งเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 20,115 คัน โดยเฉพาะมาสด้า2 ยังร้อนแรงต่อเนื่องด้วยยอดขายเกินกว่าครึ่ง มีจำนวนสูงถึง 18,426 คัน ตามมาด้วยมาสด้า3 จำนวน 1,685 คัน และมาสด้า MX-5 จำนวน 4 คัน ขณะที่รถปิกอัพ มาสด้า BT-50 ยอดขาย 1,224 คัน ส่วนครอสโอเวอร์เอสยูวีตระกูล CX-Series มีจำนวนทั้งสิ้น 14,315 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 2% อันได้แก่ รถครอสโอเวอร์เอสยูวี มาสด้า CX-30 มียอดขายสูงสุดถึง 6,879 มาสด้า CX-3 จำนวน 5,378 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 1,074 และมาสด้า CX-5 จำนวน 984 คัน ตามลำดับ
สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้าประจำปีงบประมาณ 2564 เทียบกับปีงบประมาณ 2563
ข้อมูลการขายรถ | เมษายน 2564 – มีนาคม 2565 | เมษายน 2563 – มีนาคม 2564 | % เปลี่ยนแปลง |
MAZDA2 | 18,426 | 20,742 | – 11.16 |
MAZDA3 | 1,685 | 2,800 | – 39.82 |
MAZDA CX-3 | 5,378 | 3,096 | + 73.70 |
MAZDA CX-30 | 6,879 | 7,582 | – 9.27 |
MAZDA CX-5 | 984 | 1,386 | – 29.00 |
MAZDA CX-8 | 1,074 | 1,918 | – 44.00 |
MAZDA BT-50 | 1,224 | 2,473 | – 50.50 |
MAZDA MX-5 | 4 | 7 | – 42.85 |
ยอดรวม | 35,654 | 40,004 | – 10.87 |
-มาสด้า คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีงบประมาณนี้จะมียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 820,000 – 850,000 คัน และมาสด้าคาดว่าจะมียอดขายมากกว่า 40,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 15%
-สำหรับในปีงบประมาณ 2565 นี้ มาสด้าเตรียมบุกตลาดรถมือสอง ด้วยการเปิดตัวธุรกิจใหม่ MAZDA CPO (Certified Pre-Owned) นำเสนอรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีให้กับลูกค้า เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าได้นำรถเก่ามาเทรด-อิน ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ หรือซื้อเพิ่มเติม ภายใต้กลยุทธ์ Trade Cycle Management ซึ่งลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดจากการครอบครองรถยนต์มาสด้าที่ผ่านการตรวจสอบอุปกรณ์และชิ้นส่วนกว่า 100 รายการ ผ่านมาตรฐานและการรับรองจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ซึ่งโครงการ MAZDA CPO จะเป็นการยกระดับมูลค่ารถมาสด้ามือสองในตลาด รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ และสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ปัจจุบัน เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ปีนี้ตั้งเป้าขยายเพิ่ม 18 แห่ง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 38 แห่ง ภายในปี 2568 ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าวถึงกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีงบประมาณใหม่นี้ว่า มาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบตามแผนงานระยะกลาง (Mid-Term Plan) เพื่อยกระดับคุณค่าแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย ผ่านโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า “Retention Business Model” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าแบรนด์ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในระยะยาว ซึ่งโมเดลธุรกิจใหม่นี้จะเป็นแกนหลักสำคัญที่จะถูกส่งต่อเพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ในการทำงานในทุกๆ ส่วน โดยแบ่งออกเป็น 5 แกนหลัก ได้แก่
- สร้างคุณค่าของแบรนด์ Brand Value Management (BVM) ยกระดับคุณค่าแบรนด์ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Touchpoint เพื่อยกระดับความพึงพอใจสูงสุด โดยเริ่มต้นก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อ ผ่านขั้นตอนการซื้อ จนถึงการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าไปตลอดอายุการใช้งาน
- สร้างความผูกพันกับลูกค้า Customer Retention Business ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขาย และสร้างความผูกพันกับแบรนด์มาสด้า ภายใต้ธุรกิจรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การขยายศูนย์ซ่อมตัวถังและสี เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการของลูกค้า การขยายไลน์ธุรกิจรถมือสองคุณภาพเหนือระดับ MAZDA CPO การขยายศูนย์บริการตรวจเช็กระยะแบบเร่งด่วนภายใน 30 นาที หรือ Mazda Fast Service ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีการใช้บริการของลูกค้าหนาแน่น และเน้นสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ด้วยโครงการ CRM และ Customer Privilege Program มอบสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้า ดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม เป็นบุคคลพิเศษสุด เกิดเป็นความจงรักภักดีกับแบรนด์ กลับมาใช้บริการซ้ำ และส่งต่อไปยังเจเนอเรชั่นถัดไป
- กลยุทธ์ด้านการขยายเครือข่าย Dealer Network Strategy รองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุด ให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ มาสด้ามีแผนงาน ดังนี้
-ขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 139 แห่ง พร้อมปรับทุกฟังก์ชันให้สามารถรองรับการบริการแบบครบวงจร
-ขยายศูนย์ซ่อมตัวถังและสี ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 54 แห่ง เพิ่มขึ้นเป็น 58 แห่ง
-เพิ่มช่องการให้บริการตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วน ภายในเวลา 60 นาที หรือ Mazda Fast Track เพิ่มเป็น 34 แห่ง
-ขยายศูนย์บริการในเขตที่มีประชากรมาสด้าหนาแน่น Mazda Fast Service หรือ Mazda Satellite Service เพื่อให้บริการตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วนภายใน 30 นาที ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 3 แห่ง
- การตลาดยุคดิจิทัล Use of Digital Platform นำแพลตฟอร์มออนไลน์สื่อสารกับลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำการตลาดแบบ Fan-Based Marketing แบบ One-to-One Communication รวมถึงการนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านระบบที่เรียกว่า Global One Customer Data Management System
- มุ่งมั่นสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน Sustainable Zoom-Zoom ภายในปี 2573
-มาสด้าประกาศวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแผนพัฒนาเทคโนโลยีระยะยาว Sustainable Zoom-Zoom เมื่อปี 2550 และอัปเดตอีกครั้งในปี 2560 เป็น “Sustainable Zoom-Zoom 2030” โดยแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มาสด้าให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593
-ภายใต้กลยุทธ์ Building Block Strategy เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลด CO2 แบบ Well-to-Wheel ด้วยการใช้แนวทาง Multi-solution ช่วยให้นำเสนอรูปแบบพลังงานที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในแต่ละตลาด ตลอดจนสถานการณ์ด้านพลังงานของแต่ละภูมิภาค การผลิตไฟฟ้า และอื่นๆ
ดังนั้นแนวทาง Building Block Strategy ที่จะทำให้มาสด้าบรรลุวัตถุประสงค์ตามวิสัยทัศน์ดังกล่าว คือ การสร้างรากฐานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตามลำดับเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดการพัฒนารถยนต์ที่ตอบสนองการใช้งานในกรอบเวลาที่เหมาะสม
-เฟส 1 พัฒนาเทคโนโลยีบนพื้นฐานของรถทั้งคัน ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ประกอบด้วย เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง โครงสร้างตัวถัง และแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูง โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายรุ่น ขั้นตอนในการพัฒนานี้ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้ เช่น ระบบ i-Stop และ Regenerative Braking System ที่นำเอาพลังงานจากการหยุดรถกลับมาชาร์จเป็นพลังงานไฟฟ้า และนำพลังงานกลับมาใช้ในระบบไฟฟ้าของรถยนต์
-จากเฟส 1 จนมาถึง เฟส 2 ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Skyactiv Scalable Architecture เป็น Multi-Solution สำหรับกลุ่มรถขนาดเล็กและขนาดกลาง ล่าสุด ได้พัฒนา Large Platform สำหรับกลุ่มรถขนาดใหญ่ที่มีการวางเครื่องยนต์ตามแนวยาว
-รวมถึงการนำเอาพลังงานไฟฟ้าเข้ามาเสริม อาทิ HEV, PHEV, Rotary Range Extender และรถยนต์ไฟฟ้า BEV โดยรุ่นแรก คือ MX-30 ด้วยพื้นฐาน Platform และเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้รถยนต์ xEV ประหยัดพลังงาน และมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม
-และในอนาคต เฟส 3 มาสด้ากำลังพัฒนา Skyactiv EV Scalable Architecture หรือ Next Generation บนโครงสร้างพื้นฐาน Skyactiv สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอโครงสร้างที่ตอบโจทย์รถไฟฟ้าในทุกองค์ประกอบ ในทุกเซกเมนต์ ซึ่งลูกค้ามีความต้องการที่แตกต่างกัน ภายใต้ Building Block Strategy และ Multi-Solution โดยนำเสนอรถยนต์ ICE ประสิทธิภาพสูงและรถพลังงานไฟฟ้า xEV แบบ Multi-Solution ในแต่ละตลาดที่แตกต่างกัน